วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

วัดในจังหวัดกระบี่

วัดแก้วโกรวาราม





           พระอารามหลวง เดิมเป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 ได้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เนื่องในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระชนมายุครบ 6 รอบ
ความเป็นมา

          ประมาณ ปี พ.ศ. 2430 มีชาวพุธประมาณ 200 ครัวเรือน เข้าไปตั้งถิ่นฐาน ณ บ้านปากน้ำ(ตลาดเมืองกระบี่แถวถนนคงคาหรือตลาดล่างปัจจุบัน) เมื่อถึงวันพระ หรือวันสำคัญทางศาสนาทางราชการและประชาชนจะไปนิมนต์พระจากวัดบ่อพอ วัดท่านุ่น ไปทำบุญหรือประกอบพิธีทางศาสนา ต่อมาประชาชนได้ร่วมกันสร้างพำนักสงฆ์ขึ้นบริเวณบ้านปากน้ำ (พื้นที่บริเวณต้นสะเดาใหญ่ หน้าซุ้มประตูแก้วโกรพปัจจุบัน) เพื่อให้พระสงฆ์ได้พักแรม เมื่อมีพระบางรูปเข้าไปอยู่ประมาณ 3-4 เดือน ทางราชการและประชาชนจึงร่วมกันสร้างศาลา และกุฎีเพิ่มขึ้น แล้วเรียกขานพำนักสงฆ์วัดปากน้ำ  เนื่องจากหมู่บ้านปากน้ำ ได้เลื่อนฐานะเป็นตำบล เพราะทางราชการได้ย้ายเมืองกระบี่ (ศาลากลาง) จากตำบลกระบี่ใหญ่(ตลาดเก่า) เข้าไปตั้ง ณ ตำบลปากน้ำ(บริเวณที่ตั้งศาลากลาง ,ศาล , ศาลหลักเมือง , และส่วนราชการอื่นๆในปัจจุบัน)ประมาณ พ.ศ.2440 ทางราชการ พ่อค้า ประชาชน ต่างก็ร่วมกันบูรณะและสร้างวัดปากน้ำให้เป็นวัดสมบูรณ์แบบ สมเป็นอารามประจำจังหวัด เพื่อใช้เป็นที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของเหล่าข้าราชการด้วย เมืองกระบี่ขณะนั้นยังทุรกันดารยิ่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2430-2450 หาพระไปอยู่ประจำยากพระภิกษุที่ไปอยู่ที่วัดประจำเป็นไข่ป่ามรณภาพถึง 2 รูป ในช่วง 20 ปี แรกของการก่อตั้งวัด มีพระหลายรูปที่ตั้งใจไปอยู่อย่างถาวร แต่เมื่อเข้าไปอยู่ประจำเป็นไข้ป่าแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้องลากลับวัดเดิมหลายรูป นับตั้งแต่ก่อตั้งวัดปากน้ำ จนถึงพ.ศ.2450 มีพระไปอยู่เป็นเจ้าอาวาสประมาณ 5-7 รูป คือ พระอุปัชฌาย์ จากจังหวัดตรัง(ไม่ปรากฏชื่อ),พ่อท่านวัดท่านุ่นจังหวัดกระบี่,พ่อท่านหอมแก้ว ยนยาน จากเมืองสงขลา, พระบริสุทธิสีลาจารย์ (ลภ) จากจังหวัดตรัง, พระครูสตูลสมันตสมณมุนี (สมุทร) จากจังหวัดสตูล พระเถระเหล่านี้เจ้าเมืองสมัยนั้นเป็นผู้อาราธนาไปอยู่ แต่ก็อยู่ได้รูปละ 1-3 ปี ต้องลากลับถิ่นเดิม          
          
           พ.ศ.2450 พระแก้วโกรพ (หมี ณ ถลาง) ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พระแก้วโกรพจึงติดต่อไปยังเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ขอพระสมุห์กิ่ม พุทธรกฺขิโต วัดอนุภาษกฤษฎาราม (วัดเก็ตโฮ่) จังหวัดภูเก็ต ไปเป็นเจ้าอาวาส พ.ศ.2450 พระแก้วโกรพได้นำข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดปากน้ำอย่างจริงจัง เจ้าคณะมณฑลภูเก็ตได้ขนานนามวัดขึ้นใหม่ว่า วัดแก้วโกรวาราม มีพระสมุห์กิ่ม พุทธรกฺขิโต เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมาพระสมุห์กิ่ม พุทธรกฺขิโต ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมาวุธวิศิษฐ์ สังฆปาโมกข์ (พระครูพัดยศแบบเปลวเพลิง มียอดแหลม) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วัดแก้วโกรวาราม มีพระอยู่ประจำตลอดทั้งปี 10-15 รูป แต่เนื่องจากยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พระสงฆ์จึงยังคงทำสังฆกรรมที่อุทกุกเขปสีมา (สีมากลางน้ำ) ซึ่งประชาชนสร้างถวายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2439 จุดที่ตั้งสีมา คือพื้นที่ตรงใจกลางวัง(แอ่งน้ำ)ใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกสุดเขตวัดด้านหน้า ปัจจุบัน คือ พื้นที่ทิศตะวันออกตั้งแต่ห้างและโรงแรมเวียงทอง ไปทิศตะวันตก จดอาคารตลาดสดเทศบาล และอาคารพาณิชย์วัดแก้วฯ ส่วนตัวโรงเรือนสีมา สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลัง มุงจาก ใช้เสาไม้เคี่ยม กว้าง 12 ศอก ยาว 20 ศอก จุดที่ตั้งโรงเรือนอยู่กลางถนนพฤกษาอุทิศ (ด้านตะวันตกโรงแรมเวียงทองปัจจุบัน) สมัยนั้นพื้นน้ำจากสีมาน้ำยังต่อเนื่องเป็นผืนเดียวกันกับทะเลปากน้ำ เพราะช่วงหน้าห้าง และโรงแรมเวียงทอง ,ธนาคารกรุงเทพ ยังไม่ได้ถมดินสร้างเป็นถนนอุตรกิจ พระสงฆ์ได้ทำสังฆกรรม เช่น อุปสมบทและสวดพระปาติโมกข์ในสีมานี้ ไม่น้อยกว่า 27 ปี หลังจากวัดแก้วโกรวารามได้สร้างอุโบสถ ผูกพัทธสีมา เมื่อ 9 มีนาคม 2467 แล้ว สีมากลางน้ำจึงถูกทิ้งร้างไป ต่อมาประชาชนได้บุกรุก ถือกรรมสิทธิ์ (เอกสารหลักฐาน ภาพถ่ายอุทกุกเขปสีมาพระมหาอุปดิสได้ขอยืมไปจากพระราชสุตกวี เพื่อทำประวัติวัดต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ห้องพัก ไฟได้เผาผลาญภาพถ่ายและเอกสารต่างๆจนหมดสิ้น)

          ในสมัยที่พระยาอิศราธิชัย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่นั้น ได้บัญชาการให้พัศดีเรือนจำจังหวัดกระบี่นำกำลังไปสร้างอุโบสถ ร่วมกับพระภิกษุในวัด และอุโบสถหลังนั้นยังคงใช้ทำสังฆกรรมอยู่จนถึงบัดนี้ สร้างศาลาโรงธรรม กุฎีเจ้าอาวาส โรงครัวแม้พระแก้วโกรพ(หมี) ซึ่งต่อมาเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอิศราธิชัยได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ท่านยังคงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาวัด เช่น ได้สร้างฌาปณสถานขึ้น ถึงแม้ท่านจะล่วงลับไปแล้ว แต่เหล่าทายาทยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของบุพการี โดยถวายการอุปถัมภ์วัดแก้วโกรวารามจนถึงปัจจุบันนี้

          ระหว่าง พ.ศ. 2450 -70 พื้นที่ฝั่งตะวันตกของปากน้ำกระบี่ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดแก้วโกรวารามนั้น สภาพโดยทั่ว ๆไปเป็นเนินดินที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ใหญ่ เช่น ไม้หลุมพอ ไม้เคี่ยม สลับไป ด้วยห้วย หนองน้ำ พรุหน้าวัด ส่วนใหญ่น้ำทะเลท่วมถึง เป็นที่อยู่ของจระเข้ และกลางคืนจะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น มีดวงไฟขนาดใหญ่กว่ากระด้งลอยขึ้นจากพรุหน้าวัด ไปตกพรุด้านหลังวัด ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นผีชิน ดังนั้นบริเวณโดยรอบวัดแก้วโกรวารามจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปจับจองที่ดินเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ.2451 วัดปากน้ำ ได้รับการขนานนามใหม่จากคณะสงฆ์และทางราชการว่า วัดแก้วโกรวาราม ต่อมา พระสมุห์กิ่ม ได้รับการสถาปนามสณศักดิ์เป็นพระครูธรรมาวุธวิศิษฐ์ สังฆปาโมกข์ ปกครองวัดนี้อยู่ 20 ปีเศษ ท่านเป็นผู้เห็นการณ์ไกล ได้บุกเบิกขยายพื้นที่วัดออกไปกว่า 400 ไร่ ได้เปิดสอนปริยัติธรรมแล้วคัดเลือกพระภิกษุสามเณร ส่งไปเรียนต่อที่ภูเก็ต และกรุงเทพฯ ผลงานนี้ทำให้พระราชสุตกวี (สิงห์) กลับมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดในกาลต่อมา พระราชสุตกวี (สิงห์) ปกครองวัดแก้วโกรวารามอยู่ 54 ปี

         พ.ศ.2509 กรมการศาสนา ได้ประกาศให้วัดแก้วโกรวาราม เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างระดับจังหวัด พ.ศ.2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ณ วัดแก้วโกรวาราม วัดนี้จึงได้รับการพัฒนาอย่างขนาดใหญ่จากทางราชการ และประชาชนอีกวาระหนึ่ง เมื่อพระสมุห์กิ่มเดินทางจากจังหวัดภูเก็ตมาจังหวัดกระบี่ ท่านนำกิ่งพันธุ์สะเดาไปปลูกที่วัดแก้วโกรวาราม 2 ต้น ที่ท่าเรือหน้าวัด (เชิงเนินหลังโรงภาพยนตร์มหาราชปัจจุบัน) 1 ต้น ด้านเหนือโรงธรรม (ตรงหน้าซุ้มประตูพระแก้วโกรพปัจจุบัน) 1 ต้น ฉะนั้นสะเดาต้นนี้จึงมีอายุไม่น้อยกว่า 80 ปี เพื่อรักษาไข้ป่า หรือไข้มาลาเรีย ให้แก่ชาวบ้าน และพระภิกษุสามเณร

          พื้นที่ตั้งวัดแก้วโกรวาราม เมื่อ พ.ศ.2451 มีประมาณ 50 ไร่ พระสมุห์กิ่มจึงขออนุญาตพระแก้วโกรพขยายพื้นที่วัดออกไป 3 ด้านด้วยกัน คือ ด้านทิศตะวันออก, ทิศตะวันตก และทิศเหนือ โดยขอความร่วมมือจากประชาชน ในการบุกเบิกพื้นที่ ระยะเวลาที่พระครูธรรมาวุธวิศษฐ์ (พระสมุห์กิ่ม) เป็นเจ้าอาวาสอยู่กว่า 20 ปี พื้นที่วัดแก้วโกรวาราม ได้ขยายออกไปปีละประมาณ 20-30 ไร่ ต่อมาในสมัยพระราชสุตกวี (สิงห์) ปกครองวัดแก้วโกรวาราม เมื่อ พ.ศ.2490-2495 ได้มีข้าราชการและราษฎรบางคน เรียนท่านว่า ที่ดินส่วนที่เป็นสวนจากด้านทิศตะวันออกจดถนนอุตรกิจ ทิศเหนือจดคลองท่าแดง ทิศใต้จดที่ดินวัด (แปลงปัจจุบัน) สภาพเป็นป่าชายเลน เป็นที่สาธารณะ วัดไม่ควรเข้าไปทำประโยชน์ หรือใช่ในกิจการใด ๆ เพราะผิดกฎหมาย พระราชสุตกวีจึงสละสิทธิ์ที่เดินแปลงดังกล่าวไป รวมพื้นที่ประมาณ 300 ไร่เศษ แต่ยังคงให้ศิษย์วัดเข้าไปตัดใบจากที่วัดได้ปลูกไว้หลายร้อยกอ เพื่นนำมามุงและซ่อมแซมหลังคาเสนาสนะอยู่ทุก ๆ ปี หลังจากนั้นประมาณ 20 ปีเศษ ประชาชนได้เข้าไปแย่งจับจองที่ดินแปลงนี้กัน จนหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ข้าราชการกับประชาชนร่วมกันบุกรุกป่าชายเลน เป็นข่าวใหญ่อยู่หลายวัน มีผู้นำหนังสือไปถวายพระราชสุตกวี(สิงห์) เมื่อท่านได้อ่านข่าว ท่านจึงสั่งระงับไม่ให้ พระ – เณร หรือคนวัด เข้าไปตัดใบจากมาใช้ตั้งแต่บัดนั้น



วัดถ้ำเสือ




ประวัติ

          วัดถ้ำเสือ  ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อจำเนียรมีความประสงค์จะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ ก็เกิดนิมิตในมโนภาพว่าเป็นสถานที่มีภูเขา
 ล้อมรอบ และถ้ำชื่อ “ถ้ำเสือ” ตลอดถึงถ้ำต่างๆ หลายถ้ำ และอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ด้วย ทันทีที่เกิดนิมิตเห็นก็เกิดความรู้สึกนึกรักสถานที่นั้นขึ้นมาจับใจ เหมือนรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นี้มาก่อน หลวงพ่อได้ให้พระอาจารย์หีด ไปเสาะแสวงหาสถานที่จะตั้งสำนัก จนในที่สุดพระอาจารย์หีดได้พบสถานที่หลายๆแห่งรวมถึงถ้ำเสือด้วย
หลวงพ่อได้มีโอกาสไปดูสถานที่ถ้ำตามที่พระอาจารย์หีดบอก ก็ตรงกับนิมิตที่หลวงพ่อเห็นจริงๆหลวงพ่อจำเนียร ได้นำคณะพระภิกษุ
สามเณร 53 แม่ชี 56ท่าน จากวัดสุคนธาวาส มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้อันมีนามว่าถ้ำเสือ หรือในอดีตวัดมี ชื่อว่า “สำนักสงฆ์หน้าชิง” ตามชื่อหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 และได้เปลี่ยนเป็น “วัดถ้ำเสือ” เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 มาบุกเบิกเปิดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานจนถึงปัจจุบัน ที่ได้ชื่อว่า วัดถ้ำเสือนั้น จากการสอบถามชาวบ้านได้ความว่า ในอดีตเคยมีเสือโคร่งจำนวนมากอาศัยอยู่บริเวณของถ้ำที่ตั้งอยู่หน้าเขาแก้ว ภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติเป็นรูปแบบอุ้งเท้าเสืออีกด้วย
วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งชาวต่างประเทศ ทั้งความโดดเด่นของวัดและชื่อเสียงของ "หลวงพ่อจำเนียร" ประธานสงฆ์วัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใส
ศรัทธามาช้านาน สภาพโดยทั่วไปของ วัดถ้ำเสือมีลักษณะ เป็นสวนป่า เป็นโพรงถ้ำ มีเพิงผาและแหล่งถ้ำธรรมชาติ เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำงู ถ้ำเต่า ถ้ำมือเสือ สิ่งสำคัญใน"วัดถ้ำเสือ"นั้นที่ดูเหมือนจะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดและ เป็นที่นิยมชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

สถานที่น่าสนใจ

จุดเด่นของวัด   พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ตั้งอยู่บนยอดเขาแก้ว มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ประมาณ 600 เมตร
พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ มีความสูง 90.90 เมตร ความกว้างของฐาน 58 เมตร เริ่มก่อสร้างลงฐานรากจนถึงยอดพระเจดีย์ในปี พ.ศ. 2535
  • ชั้นที่ 1 สำหรับเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ
  • ชั้นที่ 2 เป็นหอประชุมเอนกประสงค์
  • ชั้นที่ 3 แขวนระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก
  • ชั้นที่ 4 สำหรับเป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปโบราณ
  • ชั้นที่ 5 สำหรับเป็นพิพิธภัณฑ์พระธาตุ
สามารถขึ้นไปสักการะได้โดย ขึ้นบันได 1,237 ขั้น บนยอดเขาสามารถมองเห็น ทิวทัศน์ของเมืองกระบี่ได้รอบทิศ ทั้งยังเป็นที่ ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทจำลอง พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ อีกด้วย
ภายในมี 5 ชั้น กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการก่อสร้าง ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้โครงสร้างเสร็จสมบูรณ์ เหลือขึ้นตอนต่อไปคือการตกแต่งจัดเป็นชั้นต่างๆ และส่วนยอดพระธาตุเจดีย์ฯ ขณะนี้ได้ติดแผ่นกระเบื้องเซนามิคทองคำบนยอดพระธาตุเจดีย์โดยตั้งใจจะให้ เป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก ภายในมี 5 ชั้น                                                                                                                                                                                                                                                                              ประวัติเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ

พระครูภาวนาธิคุณ
พระครูภาวนาธิคุณ หรือ พระเภา ฐิตธมโม เกิดวันที่ 20 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2490 ณ บ้านทุ่งเบญจา(น้ำโจน) ตำบลทุ่งเบญจา อำเภอ ท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
บิดาชื่อ นายเหนี่ยตี๋ มารดาชื่อ นางสาว นามสกุล นามกิจ – แซ่ตั๋ง อาชีพก่อนอุปสมบท ทำเกษตรกรรม (สวนผลไม้)
  บรรพชาอุปสมบท ณ วัด ทุ่งเบญจา อำเภอ ท่าใหม่ จังหวัด จันทบุรี เมื่อวันที่ 20 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2514 โดยมีพระพิศาลธรรมคุณ ธรรมคุณ วัดบูรณาพิธยาราม ตำบล
เขาวัว อำเภอ ท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูอุดมรัตนคุณ วัดศรีเมือง ตำบล ทุ่งเบญจา อำเภอ ท่าใหม่ จังหวัด จันทบุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูอนันสีลสาร วัดทุ่งเบญจา ตำบล ทุ่งเบญจา อำเภอ ท่าใหม่ จังหวัด จันทบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และย้ายมาที่วัดแก้วโกรวาราม ตำบล ปากน้ำ อำเภอ เมือง จังหวัด กระบี่ วันที่ 13 เดือน กันยายน พ.ศ. 2531 และเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ เมื่อวันที่ 13 เดือน กันยายน พ.ศ. 2531                                                                                                                                                                                              หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฎโฐ ประธานสงฆ์ วัดถ้ำเสือ
หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ  เกิดวันศุกร์ที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด แม่ชื่อ ต้า พ่อชื่อ เพชร ชลสาคร บ้านเกิดอยู่ที่บ้านปากนคร ต.ท่าไร่ อ.เมือง
จ.นครศรีธรรมราช มีพี่น้อง ๗ คน ก่อนที่พ่อของหลวงพ่อจะมีครอบครัวเคยเป็นพระธุดงค์มาก่อน จึงได้ฝึกให้หลวงพ่อนั่งกรรมฐาน ตั้งแต่อายุ ๓ – ๔ ขวบ และผลการสมาธิระดับหนึ่ง จึงทำให้ท่านรักในการนั่งกรรมฐาน และบ่อยครั้งแอบไปนั่งกรรมฐานภาวนา ในป่าช้า แค่อายุเพียง ๕ ขวบ หลวงพ่อถูกฝึกหนักตั้งแต่ยังเด็ก ฝึกให้มีความกล้า เช่น ให้ลงไปในคลองที่มีจระเข้ ลงในทะเลที่มีฉลามเสือ เพื่อให้มีความกล้า ไม่กลัว ฝึกให้เพ่งกสิณ เพ่งดวงอาทิตย์ และยังได้รับการถ่ายทอดประสิทธิ์ ประสาทวิชาการต่างๆ เช่น คาถาอาคม โหราศาสตร์ ยาสมุนไพรแผนโบราณ วิชาที่พ่อเคยร่ำเรียนมาสมัยเป็นพระธุดงค์ ต่อมาแม่ของท่านได้เสียชีวิต เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ ๔ เดือน และท่านได้แม่เลี้ยงช่วยสอนหนังสือ ให้โดยใช้ความพากเพียรพยายามอย่างแรงกล้า ๑๕ วัน จึงเขียนได้อ่านออก พออายุ ๗ ขวบ นึกอยากจะบวชเพราะผิดหวังในความรักแม่ ที่แม่ต้องมาตายไปแต่พ่อไม่อนุญาติเนื่องจากสุขภาพของพ่อไม่ค่อยแข็งแรงจึงต้องรับ ภาระในการเลี้ยงดู ครอบครัว อายุ ๘ ขวบได้เรียนโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์ อายุ ๙ ขวบ เรียนพระไตรปิฏกทีวัดมหาธาติวรวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช และเรียนเพิ่มเติมที่วัดนารีประดิษฐ์อีก     ต่อมาเมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๒ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ พัทธลีมาวัดนารีประดิษฐ์ ตำบลท่าไร่ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี ท่านพระครูกาเดิม วัดบูรณาราม เป็น พระอุปัชฌาย์ พระครูประดิษฐ์สุวรรณวัตร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า สีลเสฎโฐ




วัดเกาะลันเตา




วัดแห่งแรกของเกาะลันตาที่มีวิสุคามสีมาเพียงแห่งเดียวของอำเภอเกาะลันตาและมีลานสำหรับนั่งวิปัสสนาปฏิบัติกรรมฐาน จัดตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2474เป็นวัดประจำอำเภอเกาะลันตา เป็นศาสนสถานสำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้และประกอบศาสนพิธี ตามหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 2ตำบลเกาะลันตาใหญ่ แต่เป็นศาสนสถานที่ ครอบคลุมทุกหมู่บ้านในอำเภอเกาะลันตาเพื่อสำหรับพุทธศาสนิกชนในอำเภอเกาะลันตา

                           

วัดคลองท่อม



ประวัติ

           วัดคลองท่อม  เป็นวัดราษฎร์  ตั้งอยู่หมู่ที่  ๒  ตำบลคลองท่อมใต้  อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่  ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 10   เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2504    มีเนื้อที่ประมาณ  ๒๗  ไร่  ๓  งาน  ๖๗  ตารางวา  และมีที่ธรณี อีก  ๑  แปลง  เนื้อที่  ๕๔  ไร่ ๒  งาน  ๑๓  ตารางวา  สภาพพื้นที่ตั้งวัดนั้นเดิมเป็นที่ราบลุ่มและมีน้ำขัง  จึงมีการถมดินให้สูงขึ้น  สภาพแวดล้อมของวัดนั้น   เป็นทุ่งนา  ป่าเบญจพรรณ  และ ลำคลอง  ในปัจจุบันถึงแม้ว่าวัดคลองท่อมจะตั้งอยู่ใจกลางอำเภอคลองท่อม แต่ก็ยังคงมีความร่มรื่น  สงบเงียบ  และมีแนวป่าไม้ เบญจพรรณนานาชนิดอยู่ทั่วบริเวณ                                                                                                                                                                                 เมื่อ  พุทธศักราช  ๒๔๕๑  พ่อท่านจันทร์  ร่วมกับข้าราชการ  พ่อค้าและประชาชน  ในการริเริ่มสร้างที่พำนักสงฆ์ขึ้น  เพื่อให้พระภิกษุสามเณรได้พักแรม  เมื่อมีพระภิกษุเข้าไปอยู่ประจำ  พ่อค้าประชาชนจึงได้ร่วมกันสร้างศาลาการเปรียญ  ( โรงธรรม )   และกุฏิเพิ่มขึ้นแล้วเรียกขานที่พำนักสงฆ์คลองท่อม  ว่า  “ วัดคลองท่อม ” เรื่อยมา                                                                                                                            พุทธศักราช  ๒๔๙๘      ตรงกับเดือน  ๗  พระสวาส  กนฺตสํวโร  ได้มาพำนักอยู่วัดคลองท่อม มีพระภิกษุ   ๑  รูป  มีศาลาการเปรียญเก่า ( โรงธรรมโบราณ )  และมีกุฏิ  ๑  หลัง  ได้แสดงพระธรรมเทศนา  อบรมสั่งสอนประชาชนจนมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและได้เข้ามาขอบรรพชาอุปสมบท  เป็นพระภิกษุ  พรรษาแรกมีพระภิกษุจำนวน  ๒๔  รูป  เมื่อมีพระภิกษุมากจึงชักชวนข้าราชการ  พ่อค้า  ประชาชนร่วมกันสร้างเสนาสนะสงฆ์  และร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญใหม่เพื่อให้พระภิกษุสามารถ    บำเพ็ญกิจวัตรและอยู่จำพรรษาในครั้งนั้น                                                                  พุทธศักราช  ๒๔๙๙  ได้ทำการขุดบ่อน้ำ  เพื่อใช้ในกิจการพระภิกษุสงฆ์ ( ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว )  และก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์  เพื่อให้พระภิกษุจำพรรษาได้  ก่อสร้างโรงครัวขึ้น และดำเนินการก่อสร้างเป็นลำดับ  มาจนถึงปัจจุบัน   ปัจจุบันวัดคลองท่อมได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างเสนาสนะสงฆ์ การพัฒนาภูมิทัศน์ ให้ดูสวยงาม การบูรณปฏิสังขรณ์ฌาปนสถานให้ทันสมัยขึ้น เป็นต้น และจากการที่วัดคลองท่อมนั้นเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วัดคลองท่อม ( พิพิธภัณฑสถานพระครูอาทรสังวรกิจ )  วัดคลองท่อมจึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นทั้งในและนอกประเทศ โดยในแต่ละวันนั้นมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์  ทุกวันมิได้ขาด อีกทั้งยังเป็นแหล่งความรู้ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงมีนักเรียนนักศึกษาจากสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ได้มาทัศนะศึกษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งนี้เป็นประจำตลอดทั้งปี                                                                                                                                                                                                                                                                                                  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น